บมจ. ฟลอยด์ (FLOYD) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ด้วยรายได้รวมจากการให้บริการ 166.08 ลบ. เพิ่มขึ้นถึง 99.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 5.93 ลบ. เติบโตอย่างก้าวกระโดด
แสดงถึงศักยภาพในการบริหารโครงการและควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูงขึ้น สำหรับปี 2568 บริษัทฯพร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ตุน Backlog งานในมือแล้วกว่า 427 ล้านบาท ส่งสัญญาณชัดเจนถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างมั่นคงในด้านรายได้และกำไร
นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และระบบดาต้าเซ็นเตอร์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปี 2568 รายได้จากการให้บริการงานวิศวกรรมประกอบอาคารรวม 166.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.82 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 99.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คิดเป็นอัตราเติบโตสูงถึง 59,400% สอดคล้องกับรายได้ที่เติบโตมาจากกลุ่มโครงการกลุ่มอาคารพักอาศัยและสำนักงาน ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา รายได้หลักของบริษัทฯ ยังคงมาจากโครงการอาคารพักอาศัย อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และศูนย์ข้อมูล (Data Center) แม้ว่าต้นทุนการให้บริการในไตรมาสนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 117% จากค่าก่อสร้างและค่าแรงที่สูงขึ้น แต่บริษัทฯยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงถึง 26.02% ส่งผล FLOYD สามารถพลิกกลับมาทำกำไรอย่างมั่นคงในไตรมาสนี้
โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานและรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 427.40 ล้านบาท ครอบคลุมโครงการอาคารพักอาศัย อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และศูนย์ข้อมูล (Data Center) พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตงาน และสร้างรายได้ที่มั่นคง
ในปี 2568 บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ประกอบกับศักยภาพของ FLOYD ในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ธุรกิจก่อสร้างในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าจับตาอย่างยิ่งในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง การท่องเที่ยว และกระแสการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจศักยภาพสูงอย่างจังหวัดภูเก็ต และแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรม Data Center ในประเทศไทย
ในขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศชะลอตัว แต่จังหวัดภูเก็ตกลับเติบโตสวนกระแส โดยได้รับแรงหนุนจากกำลังซื้อต่างชาติ และการลงทุนจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ทั้งโครงการมิกซ์ยูส คอนโดมิเนียม และพูลวิลล่าหรู มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ด้วยจุดแข็งของ FLOYD ในการติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทฯ จึงมีศักยภาพในการเข้ารับงานจากโครงการขนาดใหญ่ในภูเก็ต ทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ โรงแรม และโครงสร้างพื้นฐาน
ประกอบกับการที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลาง Giga Data Center ของภูมิภาคอาเซียน ด้วยแรงหนุนจากผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลก เช่น True IDC, TikTok, และ Google ที่ร่วมลงทุนขยายศูนย์ข้อมูลในไทยระดับหมื่นล้านบาทด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่มั่นคง ต้นทุนแข่งขันได้ และทำเลยุทธศาสตร์ ไทยจึงกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่ง FLOYD สามารถต่อยอดจากประสบการณ์ในการให้บริการงานติดตั้งระบบ Data Center มาสู่การเป็นพันธมิตรในโครงการใหม่ ๆ ที่ต้องการมาตรฐานสูงด้านเทคโนโลยีและระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดย FLOYD พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1.การขยายฐานลูกค้าและตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง
2.การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสีย
3.การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพในการก่อสร้าง
4.การรักษาความแข็งแกร่งด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว
FLOYD เดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มกำลัง พร้อมเข้าประมูลงานที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในพอร์ต ชูจุดแข็งด้านคุณภาพการติดตั้ง การควบคุมต้นทุน และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการดำเนินโครงการโดยมีทีมวิศวกรและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง
“FLOYD พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ด้วยจุดแข็งด้านวิศวกรรมระบบครบวงจร ทีมงานคุณภาพ และความเชี่ยวชาญจากโครงการที่ผ่านมา บริษัทฯ เดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นสร้างพอร์ตงานที่แข็งแกร่งจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม ศูนย์ข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ศักยภาพสูง ในปี 2568 FLOYD จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้รับเหมาระบบ แต่กำลังก้าวสู่บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์” ที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่” นายทศพร กล่าวทิ้งท้าย